ยินดีต้อนรับเข้าสู่บล็อกของอรพรรณ กาประโคน

คำนำ

สวัสดีค่ะผู้เยี่ยมชมทุกท่าน...บล็อกนี้จัดทำขึ้นเพื่อประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครู ภาคเรียนที่ 1/2557สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรีชั้นปีที่ 2 คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏหมู่บ้านจอมบึง .....เป็นการจัดการเรียนการสอนแบบผสมผสาน(blended learning)เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เป็นการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ทำให้ผู้เรียนสามารถนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ให้เป็นประโยชน์กับการศึกษาค้นคว้าเพื่อการเรียนรู้ในชั้นเรียนปกติ นอกจากนี้ยังเป็นทางหนึ่งในการส่งเสริมให้ผู้เรียนค้นพบประโยชน์และคุณค่าของ "ทางสายกลาง"โดยการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง...

หน่วยที่1

หน่วยที่ 1 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร


  1.ประวัติของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
        จากที่กล่าวมาแล้วว่า เทคโนโลยีสารสนเทศเกิดการจากการรวมกันของเทคโนโลยี  2  ด้าน  คือเทคโนโลยีโทรคมนาคมกับเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ซึ่งแต่ละด้านมีประวัติหรือพัฒนาการ ดังนี้

    เทคโนโลยีโทรคมนาคม


          เทคโนโลยีโทรคมนาคม  เริ่มจากการประดิษฐ์โทรเลขของ  แซมวล  มอร์ส  (Samual Morse)
 ในปี  พ.ศ.2380 นับว่าเป็นครั้งแรก ที่ข่าวสารถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้า ส่งไปตามสายเป็นระยะทางไกลๆ ได้โดยอาศัยวิธีการเข้ารหัสตัวอักษร เป็นรหัสอื่นที่ประกอบด้วยจุด (.) และขีด (-) เช่น สัญญาณข้อความช่วยเหลือฉุกเฉิน SOS จะเข้ารหัสเป็น... - - - ... การรับส่งโทรเลขได้ถูกนำมาใช้งานในเชิงการค้าตั้งแต่ พ.ศ. 2387 เป็นต้นมา  และในปี พ.ศ.2401  ได้มีการวางสายเคเบิล ใต้มหาสมุทรแอตแลนติก ทำให้เกิดการสื่อสารข้ามทวีประหว่างทวีปอเมริกากับทวีปยุโรปขึ้นเป็นครั้งแรก

            ในปี พ.ศ.
 2419 อเล็กซานเดอร์ แกรแฮม เบลล์ (Alexander Graham Bell)ได้ประดิษฐ์โทรศัพท์ และได้ตั้งชุมสายโทรศัพท์แห่งแรกที่เมืองนิวเฮเวน รัฐคอนเนตทิคัต สหรัฐอเมริกา จากนั้นเครือข่ายโทรศัพท์ได้ขยายตัวออกไปอย่างรวดเร็ว จนในปัจจุบันสามารถติดต่อสื่อสารกันได้ด้วยระบบโทรศัพท์ทางไกลอัตโนมัติ นับเป็นพัฒนาการอันยิ่งใหญ่ด้านเทคโนโลยีเครือข่ายโทรคมนาคม

       ด้านการสื่อสารไร้สาย

    
          - ได้มีการพัฒนาการค้นพบคลื่นวิทยุในปี พ.ศ. 2430โดย ไฮน์ริช แฮตน์
(เฮิร์ต) (Heinrich Hertz)
 และต่อมาปี พ.ศ. 2437 กูกลิเอลโม มาร์โคนี (Guglielmo Marconi) สามารถประดิษฐ์เครื่องรับส่งวิทยุเครื่องแรกได้สำเร็จ จากนั้นได้มีพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สำคัญหลายอย่าง ดังต่อไปนี้
        - ในปี พ.ศ. 2477-2479 จอห์น เฟลมมิง (John Flemming) และ ลี เดอ ฟอเรสต์ (Lee De Forest)ได้ประดิษฐ์หลอดสุญญากาศซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายการแปรรูปสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์

        - ในปี พ.ศ. 2497 วลาดิเมียร์ สวอริคิน (Vladimir Zworykin) ได้ประดิษฐ์หลอดภาพโทรทัศน์ ซึ่งเป็นที่มาของจอภาพคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน

       - ในปี พ.ศ. 2490 ชอกลีย์ บาร์ดีน และ แบรตเทน (Schockley, Bardeen and Brattain)ได้ประดิษฐ์ทรานซิสเตอร์ ซึ่งเป็นที่มาของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบสารกึ่งตัวนำไอซีและซีพียูในคอมพิวเตอร์

       - ในปี พ.ศ. 2500 คิลบี และ นอยส์ (Jack Kilby, Robert Noyce) ได้ประดิษฐ์วงจรรวมหรือไอซี ซึ่ง เป็นเทคโนโลยีย่อส่วนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ทำให้คอมพิวเตอร์ในปัจจุบันมีสมรรถนะสูงและมีขนาดเล็ก

       - ในปี พ.ศ. 2504 บริษัทเอทีแอนด์ที ได้สร้างดาวเทียมสื่อสาร เทลสตาร์ 1 เป็นดาวเทียมสื่อสารดวงแรกของโลก


เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
      
              คอมพิวเตอร์ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้  เป็นผลมาจากการประดิษฐ์คิดค้นเครื่องมือในการคำนวณ ซึ่งมีวิวัฒนาการนานมาแล้วเริ่มจากเครื่องมือในการคำนวณเครื่องแรกคือ  "ลูกคิด" (Abacus) ที่สร้างขึ้นในประเทศจีน เมื่อประมาณ 2,000-3,000 ปีมาแล้ว

               จนในปี พ.ศ.2376 นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ชื่อ ชาร์ล แบบเบจ (Charles Babbage) ได้ประดิษฐ์เครื่อง
วิเคราะห์ (
 Analytical Engine) สามารถคำนวณค่าของตรีโกณมิติ ฟังก์ชันต่างๆ ทางคณิตศาสตร์
การทำงานของเครื่องนี้แบ่งออกเป็น
 3 ส่วน ดังนี้
              -
 ส่วนเก็บข้อมูล
              -
 ส่วนคำนวณ
              -
 ส่วนควบคุม

สามารถจัดแบ่งคอมพิวเตอร์ออกได้เป็น
 5ยุค ดังต่อไปนี้

       ยุคที่1.
 พ.ศ.2489-2501 
           โดย เมาช์ลีและ เอ็กเคอร์ต ( Mauchly And Eckert )
 ได้นำแนวความคิดนั้นมาประดิษฐ์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเครื่องหนึ่ง เรียกว่า ENIAC (Electronic Numerical InteGrator and Calculator) ต่อมาได้ทำการปรับปรุงการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้มีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และได้ประดิษฐ์เครื่อง UNIVAC (Universal Automatic Computer) ขึ้น

 ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 1
           ใช้อุปกรณ์หลอดสุญญากาศ (Vacuum Tube) เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และเกิดความร้อนสูง ทำงานด้วยภาษาเครื่อง (Machine Language) เท่านั้น เริ่มมีการพัฒนาภาษาสัญลักษณ์ (Assembly / Symbolic Language) ขึ้นใช้งาน

        ยุคที่
 2 พ.ศ. 2502 – 2506
             มีการนำทรานซิสเตอร์ มาใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์จึงทำให้เครื่องมีขนาดเล็กลง และสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้มีความรวดเร็วและแม่นยำมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ในยุคนี้ยังได้มีการคิดภาษาเพื่อใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษาฟอร์แทน (FORTRAN)
 จึงทำให้ง่ายต่อการเขียนโปรแกรมสำหรับใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์

ลักษณะเฉพาะของเครื่องคอมพิวเตอร์ยุคที่ 2
            ใช้อุปกรณ์ ทรานซิสเตอร์ (Transistor)
 ซึ่งสร้างจากสารกึ่งตัวนำ (Semi-Conductor) เป็นอุปกรณ์หลัก แทนหลอดสุญญากาศ  เนื่องจากทรานซิสเตอร์เพียงตัวเดียว  มีประสิทธิภาพในการทำงานเทียบเท่าหลอดสุญญากาศได้นับร้อยหลอด ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ในยุคนี้มีขนาดเล็ก ใช้พลังงานไฟฟ้าน้อย ความร้อนต่ำ  ทำงานเร็ว  และได้รับความน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น  เก็บข้อมูลได้  โดยใช้ส่วนความจำวงแหวนแม่เหล็ก   (Magnetic Core)  มีความเร็วในการประมวลผลในหนึ่งคำสั่ง  ประมาณหนึ่งในพันของวินาที  (Millisecond : mS)  สั่งงานได้สะดวกมากขึ้น  เนื่องจากทำงานด้วยภาษาสัญลักษณ์ (Assembly Language)  เริ่มพัฒนาภาษาระดับสูง  (High Level Language)

         ยุคที่
 3 พ.ศ. 2507 – 2512
               คอมพิวเตอร์ในยุคนี้เริ่มต้นภายหลังจากการใช้ทรานซิสเตอร์ได้เพียง
 5 ปี เนื่องจากได้มีการประดิษฐ์คิดค้นเกี่ยวกับวงจรรวม (Integrated-Circuit) หรือเรียกกันย่อๆ ว่า "ไอซี" (IC) ซึ่งไอซีนี้ทำให้ส่วนประกอบและวงจรต่างๆ สามารถวางลงได้บนแผ่นชิป (chip) เล็กๆ เพียงแผ่นเดียว

        ยุคที่
 4 พ.ศ. 2513 – 2532
                 เป็นยุคที่นำสารกึ่งตัว  นำมาสร้างเป็นวงจรรวมความจุสูงมาก (Very Large Scale Integrated : VLSI)  ซึ่งสามารถย่อส่วนไอซีธรรมดาหลายๆ วงจรเข้ามาในวงจรเดียวกัน   และมีการประดิษฐ์ ไมโครโพรเซสเซอร์ (Microprocessor)
 ขึ้น  ทำให้เครื่องมีขนาดเล็ก  ราคาถูกลง  และมีความสามารถในการทำงานสูงและรวดเร็วมาก  จึงทำให้มีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer)  ถือกำเนิดขึ้นมาในยุคนี้

           ยุคที่
 5 พ.ศ. 2533 – ปัจจุบัน
                  ในยุคนี้มุ่งเน้นการพัฒนาความสามารถในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ และความสะดวกสบายในการใช้งานอย่างชัดเจน  มีการพัฒนาสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาขนาดเล็ก (Portable Computer)ขึ้นใช้งานในยุคนี้

       โครงการพัฒนาอุปกรณ์
 VLSI(Very Large Scale Integration) ให้ใช้งานง่ายและมีความสามารถสูงขึ้น รวมทั้งโครงการวิจัยและพัฒนาเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เป็นหัวใจของการพัฒนาระบบคอมพิวเตอร์ในยุคนี้ โดยหวังให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาอย่างเป็นเหตุเป็นผล ตามลักษณะของโปรแกรม

    ลักษณะของระบบปัญญาประดิษฐ์

          ระบบปัญญาประดิษฐ์มี  4  ลักษณะ   ได้แก่
         1.ระบบหุ่นยนต์ หรือแขนกล (Robotics or Robot arm System) คือ  หุ่นจำลองร่างกายมนุษย์ที่ควบคุมการทำงานด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ มีจุดประสงค์เพื่อให้ทำงานแทนมนุษย์ในงานที่ต้องการความเร็ว หรือเสี่ยงอันตราย เช่น แขนกลในโรงงานอุตสาหกรรม หุ่นยนต์
        2.
 ระบบประมวลภาษาพูด (Natural Language Processing System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถสังเคราะห์เสียงที่มีอยู่ในธรรมชาติ  เพื่อสื่อความหมายกับมนุษย์ เช่น เครื่องคิดเลขพูดได้  หรือนาฬิกาปลุกพูดได้
        3.
 ระบบการรู้จำเสียงพูด (Speech Recognition System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์เข้าใจภาษามนุษย์ และสามารถจดจำคำพูดของมนุษย์ได้อย่างต่อเนื่อง กล่าวคือเป็นการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยภาษาพูด เช่น งานระบบรักษาความปลอดภัย งานพิมพ์เอกสารสำหรับผู้พิการ
       4.
 ระบบผู้เชี่ยวชาญ (Expert System) คือ การพัฒนาให้ระบบคอมพิวเตอร์มีความรู้ รู้จักใช้เหตุผลในการวิเคราะห์ปัญหา โดยใช้ความรู้ที่มีหรือจากประสบการณ์ ในการแก้ปัญหาหนึ่ง ไปแก้ไขปัญหาอื่นอย่างมีเหตุผล ระบบนี้จำเป็นต้องอาศัยฐานข้อมูล (Database) ซึ่งมนุษย์ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นผู้กำหนดองค์ความรู้ ไว้ในฐานข้อมูลดังกล่าว เพื่อให้ระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ ได้จากฐานความรู้นั้น  เช่น  เครื่องคอมพิวเตอร์วิเคราะห์โรค หรือ เครื่องคอมพิวเตอร์ทำนายโชคชะตา

           คอมพิวเตอร์ส่วนใหญ่ที่เราใช้อยู่ในปัจจุบัน จัดอยู่ในประเภทคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer)หรือพีซี บริษัทแรกที่ใช้คำนี้คือบริษัท ไอบีเอ็ม (IBM)
 ใช้เรียกคอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะที่วาง ตลาดในปี พ.ศ. 2524แต่อันที่จริงคอมพิวเตอร์ขนาดตั้งโต๊ะเครื่องแรกที่ใช้งานได้จริงมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2520 คือ แอปเปิลทู (Apple II)ซึ่งออกแบบและผลิตจำหน่ายโดย สตีฟ จอบส์ 

      2.ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ
        เทคโนโลยีสารสนเทศ ประกอบคำ
 2 คำ ได้แก่ เทคโนโลยี และ สารสนเทศซึ่งแต่ละคำมีความหมายดังนี้
            
 เทคโนโลยี  (Technology)  เป็นคำที่มาจากรากศัพท์ภาษาละตินว่า  TEXERE  มีความหมายตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า  toweave  แปลว่า  สาน  เรียบเรียง  ถักทอ ปะติดปะต่อ และ  construct  แปลว่า  สร้าง  ผูกเรื่อง  ความรู้สึกนึกคิดที่ก่อให้เกิด ส่วนเทคโนโลยี ในรากศัพท์ภาษากรีกมาจากคำว่า technologia แปลว่า การทำงานอย่างเป็นระบบ (systematic treatment)  เทคโนโลยีจำแนกออกเป็น  3  ลักษณะ คือ
           1.
 เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ (process) เป็นการใช้วิทยาศาสตร์และความรู้ต่างๆ ที่รวบรวมไว้อย่างเป็นระบบเพื่อนำไปสู่ผลในทางปฏิบัติโดยเชื่อว่าเป็นกระบวนการที่เชื่อและนำไปสู่การแก้ปัญหาต่าง ๆ ได้
          2.  เทคโนโลยีลักษณะของผลผลิต  (product and product)  หมายถึง  วัสดุและอุปกรณ์ที่เป็นผลมาจากการใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี เช่น ฟิล์มภาพยนตร์เป็นผลผลิตของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
         3.
 เทคโนโลยีลักษณะผสมของกระบวนการและผลผลิต  (process and product)  ซึ่งใช้ร่วมกันสองลักษณะ เช่น เทคโนโลยีช่วยให้ระบบการรับส่งข้อมูลเป็นไปได้อย่างรวดเร็ว  ทั้งนี้เป็นผลจากความก้าวหน้าของการประดิษฐ์วัสดุอุปกรณ์เพื่อการรับส่งข้อมูล

ทัศนะหรือความคิดเห็นเกี่ยวกับเทคโนโลยีแตกต่างกัน โดยแบ่งออกเป็น  2  ทัศนะ  คือ

         1.  ทัศนะด้านวิทยาศาสตร์กายภาพ  (science technology)  มุ่งเน้นการพัฒนาวัสดุอุปกรณ์ให้เจริญก้าวหน้าด้วยความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ เพื่อสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการดำเนินงานสาขาต่าง ๆ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น
          2.  ทัศนะด้านพฤติกรรมศาสตร์  (behavioral technology)  เป็นเทคโนโลยีที่มุ่งเน้นกระบวนการคิดและการทำงานอย่างเป็นระบบ โดยอาศัยการผสมผสานความรู้จากศาสตร์หลายๆ ด้านเข้าด้วยกัน เช่น มนุษยศาสตร์ จิตวิทยาสังคม  จิตวิทยาการเรียนการสอน  

สารสนเทศ
            สารสนเทศ  หมายถึง  ข้อมูลที่ได้รับตีความ  จำแนกแจกแจง  จัดหมวดหมู่  หรือประมวลผลจนมีสาระอยู่ในตัวมันเอง  สามารถสื่อความหมายให้เกิดการเข้าใจกับผู้ที่ต้องการใช้ข้อมูลนั้น และสามารถที่จะนำไปใช้ประโยชน์ต่อไปได้ โดยข้อมูลที่นำมาประมวลผลนั้นอาจจะมาจากแหล่งต่าง ๆ ทั้งภายในหรือภายนอกองค์การ

เทคโนโลยีสารสนเทศ 
     
 
      หมายถึง ความรู้ในผลิตภัณฑ์หรือในกระบวนการดำเนินงานใด ๆ ที่อาศัยเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ การติดต่อสื่อสาร การรวบรวมและการนำข้อมูลมาใช้ทันการเพื่อก่อให้เกิดประสิทธิภาพทั้งทางด้านการผลิต การบริการ การบริหาร และการดำเนินการ รวมทั้งเพื่อการศึกษาและการเรียนรู้  ซึ่งจะส่งผลต่อความได้เปรียบทางด้านเศรษฐกิจ  การค้า  และการพัฒนาคุณภาพชีวิตและคุณภาพของประชาชนในสังคม

      3.ลักษณะสารสนเทศที่ดี
           
  สารสนเทศที่ดีและมีประโยชน์ในการใช้งานควรมีลักษณะดังนี้
     
ด้านเนื้อหา (Content)

          -  ความสมบูรณ์ครอบคลุม  (completeness)
          -  ความสัมพันธ์กับเรื่อง  (relevance)
          -  ความถูกต้อง  (accuracy)
          -  ความเชื่อถือได้  (reliability)
          -  การตรวจสอบได้  (verifiability)

 ด้านรูปแบบ (Format)


         -  ชัดเจน  (clarity)
         -  ระดับรายละเอียด  (level of detail)
         -  รูปแบบการนำเสนอ  (presentation)
         -  สื่อการนำเสนอ  (media)
         -  ความยืดหยุ่น  (flexibility)

 ด้านประสิทธิภาพ  (efficiency)

         -  ประหยัด  (economy)
         -  
 เวลา  (Time)
         -  ความรวดเร็วและทันต่อเหตุการณ์  (timely)
         -  
 การปรับปรุงให้ทันสมัย  (up-to-date)
         -  มีระยะเวลา  (time period)

 ด้านกระบวนการ (Process)

        -  ความสามารถในการเข้าถึง  (accessibility)
        -  การมีส่วนร่วม  (participation)
        -  การเชื่อมโยง  

4.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่ใช้ในชีวิตประจำวัน

           
 ในสังคมปัจจุบันไม่ว่าใครจะอยู่ที่ใด  แม้ในเมืองหรือชนบทก็ตาม  ย่อมมีการติดต่อสื่อสารกับบุคคลหรือสังคมอื่นอยู่เสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง  เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ความคิดเห็น หรือการรับรู้ข้อมูลข่าวสารในชีวิตประจำวันด้วยสื่อต่างๆ  เช่น  หนังสือพิมพ์  วิทยุกระจายเสียง  วิทยุโทรทัศน์ โทรศัพท์  โทรสาร  ล้วนเป็นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทั้งสิ้น  นอกจากนี้ยังใช้เทคโนโลยีเครื่องมือหรือกลไกเพื่ออำนวยความสะดวก  เช่น  การถอนเงินจากเครื่องจ่ายเงินอัตโนมัติ  (ATM : Automatic Teller/Technology Machine)  การสแกนลายนิ้วมือการเข้าปฏิบัติงานในสำนักงาน  การจ่ายค่าโดยสารรถไฟฟ้า ผ่านบัตรแถบแม่เหล็ก 

5.กระแสโลกาภิวัฒน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 

         
 การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  จะอาศัยองค์ประกอบต่างๆ มากมาย เช่น การใช้โทรศัพท์ ต้องอาศัยอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เปลี่ยนคลื่นเสียงให้เป็นคลื่นสัญญาณไฟฟ้า และจะถูกเปลี่ยนให้เป็นสัญญาณเสียงที่เครื่องโทรศัพท์ปลายทาง ส่วนการใช้โทรศัพท์มือถือ ในการสื่อสารคลื่นเสียงจะถูกเปลี่ยนเป็นคลื่นสัญญาณไฟฟ้าวิ่งผ่านอากาศ ไปยังสถานีแม่ข่าย หรือดาวเทียมเพื่อส่งต่อคลื่นสัญณาณไฟฟ้าไปยังเครื่องรับโทรศัพท์ปลายทาง ดังนั้น เครื่องโทรศัพท์มือถือทั่วไป จะต้องมีเครื่องรับและส่งสัญญาณคลื่นเสียงที่เราพูดคุยกันและในปัจจุบันเราสามารถสื่อสารระหว่างกันโดยการใช้โทรศัพท์มือถือ  รุ่นที่สามหรือ  3G  ส่งสัญญาณเสียง  และภาพพร้อม  กันโดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารและคอมพิวเตอร์  ทำให้เราสามารถเห็นภาพของคู่สนทนาไปพร้อมๆ กัน


6.บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารที่มีต่อสังคม

          -  ช่วยให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นจากการสื่อสารที่รวดเร็วและกว้างไกล
          -  ช่วยทำให้วิทยาการต่างๆ  เจริญก้าวหน้าและทันสมัยอย่างรวดเร็ว
          -  การรับรู้และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารของโลกเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็;
          -  สามารถเข้าถึงคลังข้อมูลข่าวสารจำนวนมาก  ซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ในการพัฒนาอาชีพและคุณภาพชีวิต
          -  สนับสนุนการทำงานและกระบวนการผลิต เช่น การใช้คอมพิวเตอร์ในการวางแผนการออกแบบและการควบคุมระบบการทำงาน
          -  ส่งเสริมระบบบริหารจัดการในรูปแบบใหม่  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการหน่วยงานหรือองค์กร
          -  กระจายโอกาสด้านการศึกษา  ให้ผู้เรียนที่อยู่ห่างไกล  สามารถเรียนรู้ผ่านระบบการสอนทางไกลหรือผ่านดาวเทียมได้
          -
 สามารถเผยแพร่สารสนเทศและภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่สังคมโลกได้โดยง่าย  เช่น  การเผยแพร่งานในอินเตอร์เน็ตตำบล  เป็นต้น
         -  ช่วยให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ  อย่างต่อเนื่อง


4 ความคิดเห็น:

  1. ความคิดเห็นนี้ถูกผู้เขียนลบ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. มีเนื้อหาที่น่าสนใจมาก ค่ะ

      ลบ
  2. เรียบง่าย เข้าใจง่ายค่ะ สวยงาม

    ตอบลบ
  3. เนื้อหาน่าสนใจค่ะ เข้าใจง่าย

    ตอบลบ